มีทฤษฎีการทำบุญมากมายที่เราได้ยินกัน ทำบุญถวายข้าวสารให้วัด ทำให้ชาติหน้า มีโภคทรัพย์มาก ทำบุญบูชาพระรัตนตรัยด้วยดอกไม้สด ทำให้ชาติหน้า ได้แฟนสวย อายุน้อย ทำบุญปิดทอง พระพุทธรูป ชาติหน้าเกิดมา มีผิวพรรณสวยงาม และอื่น ๆ อีกมากมาย วันนี้เรามีพิธีกรรับเชิญมาช่วยเพิ่มสีสันของการทำบุญปีใหม่ ได้แก่ คุณน้อง ครับ
คุณน้อง : หลวงพี่คะ ทำบุญอย่างที่หลวงพี่ว่า ล้วนแล้วแต่ต้องรอชาติหน้า ชาติโน้น ชักช้า เสียเวลา มีทำบุญแบบได้ผลรวดเร็วทันใจ ทำปุ๊บ เห็นผลปั๊บ มีบ้างไหมคะ
สมีรี่ : มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกหลายตอน ครับว่า ทำบุญกับพระอนาคามี หรือพระอรหันต์ที่เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติ จักเป็นเศรษฐีทันตาเห็น ผู้ที่เข้านิโรธสมาบัติ แล้วไปโปรดคนยากคนจนเป็นประจำ มีพระมหากัสสปะ เป็นต้น คนใส่บาตรท่าน บางทีข้าวทั้งนากลายเป็นทองบ้าง มีทองผุดขึ้นมาจากที่ดินบ้าง แม้กระทั่งผู้เป็นใหญ่ในเทวดาทั้งหลาย อย่างพระอินทร์ใส่บาตรท่านแล้ว ยังไ้ด้บุญมาก มีรัศมีกายสว่างไสวกว่าเดิม เหนือเทวดาทั้งหลาย
คุณน้อง : ปัดโธ่... หลวงพี่... นั่นมันเรื่องราวตั้งสองพันห้าร้อยกว่าปีมาแล้ว แถมสมัยนี้ จะหาพระเข้านิโรธสมาบัติได้ที่ไหน เอาแบบง่าย ๆ หน่อยดิ ไปทำบุญที่วัดข้างบ้านได้ปะ... อยากรวยอะ รวยเร็ว ๆ ด้วยนะ เอารวยชาตินี้นะ ไม่รอเอาชาติหน้าด้วย
สมีรี่ : โถ... โถ... โถ... คุณน้องจะใจร้อนไปถึงไหน ทำบุญให้ได้ผลไวนั้นต้องใจเย็น ๆ นะ
ประการแรก คุณน้องต้องทราบให้ชัดก่อนว่า การทำบุญให้มีอานิสงส์มาก ขึ้นกับปัจจัย ๓ อย่าง นั่นคือ
๑. ผู้ให้ทาน
๒. วัตถุทาน
๓. ผู้รับทาน
เรื่องนี้เขียนไปอย่างน้อย ๒ เอ็นทรี่แล้วแล แต่ก็ยังมีคนพลาดไม่ได้อ่านอีกมากมาย แถมทำลิงค์ไว้ ก็ไม่ยอมไปหาอ่านอีกแน่ะ เลยต้องมาพล่ามซ้ำซาก อีกสักรอบ เอาแบบย่อ ๆ ก็แล้วกัน คือ ผู้ให้ทานต้องมีใจยินดีกับการให้ และต้องยินดีทั้ง ๓ กาล คือ ก่อนให้ ขณะให้ และหลังให้ วัตถุทานต้องบริสุทธิ์ ไม่ไปทำบาปเพื่อให้ได้มาซึ่งวัตถุทาน ส่วนข้อสามนั้น ท่านเทียบสเกลไว้ให้เข้าใจง่าย ๆ ดังนี้ ครับ
ทำทานให้สัตว์เดรัจฉาน ๑๐๐ ครั้ง ไม่เท่าทำทานให้คนมีศีล ๕ ไม่ครบ ๑ ครั้ง
ทำทานให้คนมีศีล ๕ ไม่ครบ ๑๐๐ ครั้ง ไม่เท่าทำทานให้คนรักษาศีล ๕ ครบ ๑ ครั้ง
ทำทานให้คนรักษาศีล ๕ ๑๐๐ ครั้ง ไม่เท่าทำทานให้คนรักษาศีล ๘ ๑ ครั้ง
ทำทานให้คนรักษาศีล ๘ ๑๐๐ ครั้ง ไม่เท่าทำทานให้พระที่รักษาศีล ๒๒๗ ๑ ครั้ง
ทำทานให้พระที่รักษาศีล ๒๒๗ ๑๐๐ ครั้ง ไม่เท่าทำทานให้พระโสดาปัตติมรรค ๑ ครั้ง
ทำทานให้พระโสดาปัตติมรรค ๑๐๐ ครั้ง ไม่เท่าทำทานให้พระโสดาปัตติผล ๑ ครั้ง
ไล่เรื่อย ๆ ขึ้นไป ว่าโดยย่อ คือ พระโสดาปัตติผล < พระสกทาคามีมรรค < พระสกทาคามีผล < พระอนาคามีมรรค < พระอนาคามีผล < พระอรหัตตมรรค < พระอรหัตตผล < พระปัจเจกพุทธเจ้า < พระพุทธเจ้า < สังฆทาน < วิหารทาน
ซึ่งความเป็นจริงแล้ว ไม่ใช่ว่า จะมีอานิสงส์เป็นร้อยเท่า ขึ้นไปเรื่อย ๆ เช่นนี้หรอก แต่อานิสงส์มันเทียบกันไม่ได้ต่างหาก เขาถึงเรียกพระอริยเจ้าว่า เนื้อนาบุญอันยอดเยี่ยมของโลก ซึ่งหมายถึง หว่านข้าวเปลือกไป ๑ เมล็ด อาจได้ผลกลับมาหลายเกวียน หรือหลายกระสอบ ขึ้นอยู่กับว่า พระที่คุณน้องไปทำบุญด้วย มีความบริสุทธิ์ของจิต ระดับไหน
คุณน้อง : หลวงพี่คะ แล้วจะทราบได้อย่างไรว่า พระที่คุณน้องไปทำบุญด้วย เป็นพระอริยเจ้าล่ะคะ (พระอริยเจ้า คือ พระโสดาปัตติมรรค ขึ้นไป)
สมีรี่ : ก็ขอตอบว่า ไม่มีทางรู้หรอก คุณน้องเอ๋ย ได้แต่เดา ๆ เอา จริยาพระอรหันต์ ท่านจะไม่ติดกับขันธ์ ๕ หรือไม่ติดกับร่างกาย ทว่าเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่า ท่านติด หรือไม่ติด การเจรจาพาที ไม่สามารถเฉลยคุณธรรมในใจได้
คุณน้อง : อย่างนี้ก็ไม่มีทางทำบุญให้ได้ผลเยอะ ๆ ให้ได้ผลไว ๆ ซีคะ เพราะพระแถวบ้านคุณน้อง ดูท่า่คงจะไม่ใช่พระอริยเจ้าแหงม ๆ
สมีรี่ : มีสิจ๊ะคุณน้อง คุณน้องก็หันไปทำสังฆทานก็ได้ สังฆทาน คือ ทานที่ถวายพระสงฆ์ โดยไม่เจาะจงรูปใด รูปหนึ่ง ถวายให้เป็นของส่วนรวมว่างั้นเหอะ อย่างนั้นแม้ผู้รับ(ผู้แทนสงฆ์) ไม่ใช่พระอริยเจ้า ก็มีอานิสงส์ยิ่งกว่าถวายกับพระพุทธเจ้าโดยตรงซะอีก
คุณน้อง : ใช่ถังเหลือง ๆ ที่คุณน้องเอาไปถวายเป็นประจำหรือเปล่าคะ
สมีรี่ : แม่นแหล่ว
คุณน้อง : โห... หลวงพี่คะ คุณน้องก็ทำเป็นประจำแหละค่ะ ไม่เห็นมันจะรวยเป็นแม้วอะไรขึ้นมาเลยค่ะ
สมีรี่ : อ๋อ... อานิสงส์มาก กับได้ผลเร็ว มันคนละเรื่องกันหน่ะ คุณน้อง อานิสงส์นั้น คุณน้องได้แน่นอนอยู่แล้ว แต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ถ้าอยากให้อานิสงส์ส่งผลเร็ว เหมือนติดจรวด ก็ต้องถวายให้แด่พระที่มีความบริสุทธิ์ของจิตสูง ๆ เช่น พระอรหันต์ หรือพระที่เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติ
คุณน้อง : โธ่... หลวงพี่ หลอกให้อ่านมาตั้งนาน มันก็ไม่เห็นจะแตกต่างจากที่คุณน้องรู้มาเลย ถึงคุณน้องทราบ คุณน้องก็ไม่รู้จะไปหาพระอรหันต์ที่ไหนอยู่ดีแหละเจ้าค่ะ
สมีรี่ : ไม่เห็นจะยาก ก็ถวายให้พระพุทธเจ้าโดยตรงเลยซี้
คุณน้อง : ห๊ะ... ถวายให้ท่านได้ด้วยหรือคะ ท่านปรินิพพานไปแล้วตั้งสองพันห้าร้อยกว่าปี ไม่ใช่หรือคะ
สมีรี่ : ถวายได้ซี้ พระพุทธเจ้ายังคงอยู่ ทุกหนทุกแห่งนั่นแล ขึ้นอยู่กับว่า ใจของคุณน้องสัมผัสพระองค์ได้หรือเปล่า เอาอย่างนี้ซี เวลาถวายสังฆทานหน่ะ ให้กำหนดจิต ระลึกถึงพระพุทธเจ้า ขออาราธนาพระองค์เสด็จมาเป็นประธาน รับสังฆทานที่คุณน้องถวาย แค่นี้คุณน้องก็ได้อานิสงส์เต็ม แล้วแถมให้ผลเร็วอีกต่างหาก
คุณน้อง : อ๋อ... อย่างนี้นี่เอง แต่หลวงพี่คะ อย่างนั้นก็ไม่เห็นจะเป็นหลักประกันอะไรเลยนี่คะ ว่าคุณน้องทำบุญแล้ว คุณน้องจะรวยแน่ ๆ รวยเห็น ๆ รวยเร็ว ๆ ทำบุญแล้วให้รอลม ๆ แล้ง ๆ อย่างนี้ มันก็เหมือนกับที่เขาโฆษณาให้ไปทำบุญกัน ไหนหลวงพี่โฆษณาไว้หัวเอ็นทรี่ว่า ให้รวยทันตาเห็นไงคะ
สมีรี่ : ความจริงแล้ว คุณน้องก็รวย ตั้งแต่คิดจะทำแล้วหล่ะ เพราะ "ความรวย" แท้จริง มันอยู่ที่ใจของคุณน้องเอง ถ้าคุณน้องรู้จัก "พอ" เมื่อไหร่ คุณน้อง ก็ "รวย" เมื่อนั้น การทำบุญทำทาน โดยคิดจะสละออก มันไปละความโลภ คิริมานนทสูตร กล่าวไว้ว่า ยิ่งคุณน้องละกิเลสได้มากเท่าไหร่ คุณน้องก็ได้บุญมากเท่านั้น ความโลภ ก็เป็นกิเลสตัวเอ้ ตัวหนึ่ง ซึ่งทำให้เราไม่เคย "พอ" อยากได้โน่น อยากได้นี่ ตลอดเวลา ซึ่งก็หมายถึงว่า ถ้าคุณน้องยังโลภอยู่ คุณน้องก็เป็นคนจนตลอดเวลา นั่นเอง
ฉะนั้น ถ้าคุณน้องทำบุญ ด้วยหวังให้ได้อานิสงส์มาก ๆ ได้บุญมาก ๆ ได้ลาภสักการะอันเกิดจากอานิสงส์ของบุญนั้นไว ๆ ทำบุญด้วยความอยากมีหน้ามีตาในสังคม เช่นนั้น คุณน้องทำบุญแล้ว ก็อาจจะยิ่งจนลง เพราะทำไปแล้ว ความโลภคุณน้อง ไม่ได้ลดลง บางทีก็อาจมากขึ้น และห่างไกล คำว่า "พอ" ยิ่งขึ้น บุญที่ได้ก็น้อยตามไปด้วย
ตรงข้าม ถ้าคุณน้องทำบุญ ด้วยเจตนาละความโลภ สละออกเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ หวังเพียงเพื่อละความโลภของตนเอง ไม่ได้หวังว่า มันจะมีอานิสงส์อะไร เช่นนั้น ก็ละความตระหนี่ถี่เหนียวของคุณน้อง เข้าใกล้คำว่า "พอ" มากขึ้น และเมื่อไหร่ที่คุณน้องเข้าถึงคำว่า "พอ" คุณน้องก็เป็นเศรษฐีในชั่วพริบตา ทีเดียว
นี่ละ ความหมายของการยิ่งทำบุญ ยิ่งรวย คุณน้องเข้าใจใช่ไหมจ๊ะ
คุณน้อง : แจ่มแจ้งเจ้าค่ะ อย่างนี้คุณน้องก็เริ่มจะรวยทันตาเห็นขึ้นมาแล้วหล่ะค่ะ ด้วยการทำบุญโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนเลยใช่ไหมคะ
สมีรี่ : ถูกแล้วครับ คุณน้อง ถ้ามีโอกาสก็แบ่งปันสิ่งที่เรามี ให้ผู้ที่ด้อยโอกาสในสังคม เป็นสาธารณประโยชน์ ก็จะเป็นคุณอันประเสริฐ เพราะเราไม่ได้เจาะจงให้ใครเป็นพิเศษ มีอานิสงส์มากเช่นกันครับ
คุณน้อง : กราบขอบพระคุณหลวงพี่ที่ช่วยให้ความกระจ่าง และขอกราบนมัสการลาเจ้าค่ะ
สมีรี่ : เจริญพร นะคุณน้อง ร่ำรวย ๆ เฮง ๆ ตลอดปีใหม่นะคุณน้อง และผู้อ่านทุกท่าน คิดหวังสิ่งใด ขอจงสำเร็จทุกประการ เอวัง โหตุ นะจ๊ะ
เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ ฯ
cadit by Dhammasarokikku
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น