ฟื้นพลังมาสู้ชีวิตกันต่อ หลังจากดาวน์ไปพักใหญ่ จากการบุกตะลุยทำบุญไปทางเหนือแล้วได้รับฟังผลที่ไม่น่ารัก ไม่น่าพอใจนักในเอ็นทรี่ก่อน ความจริงแล้ว ผลที่ไม่น่ารักไม่น่าพอใจนั้นเป็นเพียงเศษเสี้ยวของปลาทูเค็มที่ขนไปแจกครับ ปีที่แล้วขนขึ้นไปรวมราว ๑.๕ ตัน ไอ้ที่เขาเอาไปทิ้งหน่ะ แค่ ๑๐ กก. เท่านั้น แต่คนเราที่ไม่ฉลาดทางอารมณ์ (มักเกิดกับผู้ที่ทำอะไรก็หวังผลเลิศเลอเพอร์เฟ็ค หวังผล ๑๐๐% ไปเสียหมด) ก็มักไปจมงมงายอยู่กับผลที่ไม่เลิศ ไม่สำเร็จเล็ก ๆ น้อย ๆ คล้ายกับที่ข้าพเจ้าเป็นนี่แล
มีบทความที่ตั้งใจจักเขียนตั้งแต่ก่อนออกตะลุยทัวร์แม่ฮ่องสอน ทว่าวุ่น ๆ วาย ๆ อยู่กับการเตรียมของ เลยลืมไปเสียสนิท มีข้อความหลังไมค์เขามาหลังจาก published เอ็นทรี่ก่อนหน้านี้ ทำไมผู้ชายหล่อเท่หันไปเป็นเกย์กันหมด? ดังนี้ครับ
นิด (นามสมมุติ) ชอบเอ็นทรี่นี้มากเลยค่ะ มันเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ พูดเรื่องของผู้ชาย ซึ่งผู้หญิงไม่ค่อยรู้ แต่ก็เป็นข้อคิดดี ๆ หลาย ๆ อย่าง ทั้งทางตรงและทางอ้อม นิดก็เป็นคนหนึ่งที่ยังไม่มีโอกาสที่จะสามารถพรีเซนท์ "ใจ"กับใคร เคยรู้จักชายผู้หนึ่งสนิทสนมกัน จนนิดคิดว่าคนนี้แหละฉันจะฝากชีวิตไว้กับเธอ แต่เมื่อเวลาล่วงเลยมา ชีวิตนิดก็เหมือนตายทั้งเป็น เมื่อเขาจากไป (ไม่ได้เสียชีวิตนะ) แต่เป็นเพราะเขาคงมีปัญหาอะไรสักอย่าง นิดก็คิดในแง่ดีคงเป็นปัญหาทางบ้านมั้ง ก็เลยคิดว่าคงให้เขาอยู่ตรงที่เขาสบายใจดีกว่า เขาจะได้พักผ่อน แต่เมื่อนานไปไม่เป็นอย่างที่ดิด เขาคงไม่ได้มีปัญหาทางบ้าน แต่คงเป็นปัญหาเรื่องของผู้หญิงที่เขามีมากมาย แม้กระทั่งคบกันนิดก็ไม่เคยรู้เลยว่าเขามีผู้หญิงอีกหลายคน เป็นเพราะนิดคิดดีเกินไปมั้ง "ไว้ใจ" "เชื่อใจ" แล้วก็ "เชื่อฟัง" (แต่ก็มีบ้างที่เอาแต่ใจ ก็นิสัยผู้หญิงนะ) วันนี้รู้แล้วว่าเขามีผู้หญิงมากมายจนคงไม่รู้จะเลือกใครดีมั้ง แต่นิดก็ขอโง่ต่อไปเพราะความรักตัวเดียว นิดยังรักเขามากขึ้นมากขึ้น ไม่มีน้อยลง และไม่คิดเปลี่ยนแปลง แม้ว่าเขาจะไม่เลือกเราก็ตาม นิดมีเขาไว้ในใจเสมอ คอยให้เขาเป็นกำลังใจเมื่อยามเจอปัญหา (เป็นการให้กำลังใจตัวเองโดยไม่มีเขาอยู่เลย) ณ วันนี้ ก็หลายปี แล้ว น่าจะประมาณ 5-6 ปี แล้วนะ ทำไมใจเราถึงยังยึดมั่นอยู่เลย ผู้หญิงแก่ตัว ไม่น่ามองเลย ไม่รู้เลยว่าต่อจากนี้จะต้องทำอย่างไรกับชีวิตนี้ดี ฆ่าตัวตายก็เป็นบาป อยู่ก็เหมือนตายทั้งเป็น ธรรมะก็ช่วยได้ช่วยลดภาวะการหนีจากโลกนี้ได้มาก แต่เมื่อได้ศึกษาแล้ว ยิ่งรู้ว่าชีวิตนี้มันไม่มีอะไรแน่ ไม่รู้จะทำเพื่ออะไร ในเมื่อจุดจบของชีวิตคือความตาย วันนี้เป็นวันเกิดหนูนะ แต่หนูพึงละรึกไว้เสมอเรื่องของความตายของตัวเอง ตอนนี้ก็ใช้ชีวิตไปกับชีวิตประจำวันไม่มีอะไรให้งานช่วยให้ชีวิตได้ดำเนินต่อไป ความรักมีอยู่ในโลกใบนี้ แต่นิดคงไม่มีโอกาสได้เจอ ขอบคุณค่ะ ชีวิตที่น่าเบื่อหน่ายเสียจริง
ช่วงนี้ดูหนังไปหลายเรื่อง (โดยเฉพาะ PRAY EAT LOVE) นั่งดูทุกข์ของคนทั้งหลายที่ท็อปฮิตติดชาร์ตตลอดกาล คงไม่พ้นเรื่องคู่ครอง และดูฝรั่งเขาจักเข้าใจธรรมะไม่แพ้เราเลย คำว่า "ปล่อยวาง" เขาใช้คำว่า "Let it go." ปรัชญาทั่ว ๆ ไปเขาก็ทำได้ไม่แพ้เรา เพียงแต่ส่วนธรรมะขั้นลึกที่สุด เขาก็ยังเข้าไม่ถึง ยากเหลือเกินที่คนจักเข้าใจความแตกต่างระหว่าง "สมถกรรมฐาน" กับ "วิปัสสนากรรมฐาน" ส่วนใหญ่ถ้าลงนั่งสมาธิแล้ว ก็เรียกว่า "Meditation" หรือ ทำสมาธิเหมือนกันหมด ส่วน Enlightenment หรือ การรู้แจ้งนั้น เท่าที่พิจารณาแล้ว ก็ไม่พ้นเป็นการเข้าสมาบัติขั้นใดขั้นหนึ่ง หรือบางทียังไม่ทันเข้าถึงสมาบัติ หรืออัปปนาสมาธิเลย แค่เกิดปีตินิดหน่อย ก็เข้าใจว่า รู้แจ้งแล้ว พ้นทุกข์แล้ว
แต่แม้เขาไม่มีโอกาสดี ๆ อย่างเรา ๆ ท่าน ๆ ซึ่งสามารถหาครูบาอาจารย์ที่เข้าใจธรรมะถ่องแท้ได้ไม่ยากนัก หากขวนขวายสักหน่อย เขาก็มีสิ่งที่เราคนไทยไม่ค่อยมี นั่นคือ ความเอาจริงเอาจัง คนไทยจำนวนมาก ศึกษาธรรมะเป็นวรรคเป็นเวร แต่ไม่ลงมือทำ ทฤษฎีนั้นล้นกระโหลกเลย คุยฟุ้งได้สามวันแปดวันไม่ซ้ำ แต่ถามว่า ลงมือทำหรือยัง? ก็มีข้ออ้างสารพัดสารเพ ไม่ว่างมั่ง ไม่มีเวลามั่ง ต้องทำการบ้านมั่ง ต้องทำงานมั่ง ต้องดูละครมั่ง ต้องดูแลสามีมั่ง ต้องเทคแคร์ภรรยามั่ง ต้องเลี้ยงลูกมั่ง ทั้งที่จริงแล้ว การปฏิบัติธรรมขั้นสุดยอด คือการผนวกธรรมะเข้าไปในชีวิตประจำวัน ดังนั้นข้ออ้างทั้งหลายจึงฟังไม่ขึ้น พวกศึกษาธรรมะไว้คุยโม้โอ้อวดนี่ น่าเสียดายโอกาสที่ได้เกิดมาบนแผ่นดินไทย อยู่ใกล้พระพุทธศาสนาเหลือเกินครับ
ก่อนจักออกนอกเรื่องไปไกล เรามาตอบจดหมายมิตรรักแฟนบล็อก "คุณโยมนิด (นามสมมุติ)" กันก่อนดีกว่าครับ จากที่สาธยายมานี่ อย่างแรกคือ เอาหัวใจไปฝากไว้ผิดที่ครับ สรรพสิ่งในโลกล้วนอนิจจัง มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไปในที่สุดเสมอ ใจคนก็เช่นกัน จักไปเอาแน่กระไร ใจเราเองยังแปรเปลี่ยนทุกเมื่อเชื่อวัน เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวสุข เดี๋ยวเฉย ๆ หมุนเวียนเปลี่ยนสลับไปไม่เว้นแม้สักวินาทีเดียว แล้วจักไปพยายามให้ใจใครเป็นอย่างที่เราหวัง
หวังในสิ่งที่หวังไม่ได้ ก็มีความผิดหวังเป็นที่สุด เท่านั้นเอง
รู้ถึงทุกข์จากความผิดหวังแล้ว ก็ไม่ควรจมอยู่กับความผิดหวังครับ ลุกขึ้นมาจากบ่อขี้ แล้วตรวจดูว่า ชีวิตนี้เราควรฝากไว้กับใครจักดีกว่า มั่นคงถาวรกว่า คำว่า "อบอุ่น" ในภาษาฝรั่งบางทีเขาใช้คำว่า "secured" ซึ่งภาษาไทยแปลตรงตัวว่า มั่นคง หรือปลอดภัย ทว่าคำว่า "ถาวร" ไม่มีในสังสารวัฏครับ สิ่งเดียวที่เอาใจเราไปฝากไว้แล้ว ไม่มีคำว่าผิดหวัง ก็คือ พระรัตนตรัยมี พระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ (เน้นว่า พระ "อริย" สงฆ์ เพราะสงฆ์ปุถุชนเอาใจไปฝากแล้ว ก็ยังอาจผิดหวังได้) ถ้าได้ปฏิบัติธรรมไปสักระยะหนึ่ง เวลาสวดมนต์ทำวัตร (โดยเฉพาะวัดที่สวดมนต์แปล) มีบทหนึ่งมีความซาบซึ้งกินใจมากว่า
พะหุง เว สะระณัง ยันติ ปัพพะตานิ วะนานิจะ,
อารามะรุขะเจตะยานิ มะนุสสา ภะยะตัชชิตา,
มนุษย์เป็นอันมาก เมื่อเกิดมีภัยคุกคามแล้ว, ก็ถือเอาภูเขาบ้าง,
ป่าไม้บ้าง, อารามบ้าง และรุกขเจดีย์บ้าง เป็นสรณะ,
เนตัง โข สะระณัง เขมัง เนตัง สะระณะมุตตะมัง,
เนตัง สะระณะมาคัมมะ สัพพะทุกขา ปะมุจจะติ.
นั่น มิใช่สรณะอันเกษมเลย, นั่น มิใช่สรณะอันสูงสุด,
เขาอาศัยสรณะนั่นแล้ว ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้.
โย จะ พุทธัญจะ ธัมมัญจะ สังฆัญจะ สะระณัง คะโต,
จัตตาริ อะริยะสัจจานิ สัมมัปปัญญายะ ปัสสะติ,
ส่วนผู้ใดถือเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะแล้ว,
เห็นอริยสัจคือ ความจริงอันประเสริฐสี่ ด้วยปัญญาอันชอบ
ทุกขัง ทุกขะสะมุปปาทัง ทุกขัสสะ จะ อะติกกะมัง,
อะริยัญจัฏฐังคิกัง มัคคัง ทุกขูปะสะมะคามินัง,
คือเห็นความทุกข์, เหตุให้เกิดทุกข์, ความก้าวล่วงทุกข์เสียได้,
และหนทางมีองค์แปดอันประเสริฐ เครื่องถึงความระงับทุกข์,
เอตัง โข สะระณัง เขมัง เอตัง สะระณะมุตตะมัง,
เอตัง สะระณะมาคัมมะ สัพพะทุกขา ปะมุจจะติ.
นั่นแหละ เป็นสรณะอันเกษม, นั่น เป็นสรณะอันสูงสุด,
เขาอาศัยสรณะนั่นแล้ว ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้.
เอาละ ครับ อ่านดูสะบัดสำนวนอาจดูโบราณไปสักนิด ลองเอามาต้มยำทำแกงเป็นเวอร์ชั่นบินเดี่ยวรสแซ่บแอ๊บแบ๊ว ให้เข้ากับยุคปัจจุบัน ก็ได้ความว่า
หนุ่มสาวเอย!!!เมื่อพวกเทอจักเสพย์กาม พวกเทอก็ยึดเอาผัวบ้าง เมียบ้าง สามีบ้าง ภรรยาบ้าง แฟนบ้าง คบกันแบบพี่น้องบ้าง ไปจนถึงกิ๊กบ้าง เป็นสรณะ (ที่พึ่ง)
นั่น ไม่ใช่หลักพึ่งพิงใด ๆ ในชีวิตเลย พวกเทออาศัยสรณะนั้นแล้ว อย่าว่าแต่จักพ้นจากทุกข์ (ของคนไม่มีแฟนเลย) พวกเทอกำลังก้าวลงสู่ห้วงทุกข์ที่ยิ่งกว่าการเป็นโสด (ความจริงเป็นโสดก็สุขดีอยู่แล้ว แต่ชอบลองของ ชอบหลงใหลไปกับโปรโมชั่นแรง ๆ) ยุ่อมมีแต่ความผิดหวัง พบแต่สิ่งไม่น่ารัก ไม่น่าพอใจ (หลังหมดช่วงโปรโมชั่น)
หากอยากจักมีรักอีกสักครั้งหนึ่ง ขอพวกเทอจงรักพระพุทธเจ้า ขอพวกเทอจงรักพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ขอพวกเทอจงรักพระอริยสงฆ์ผู้ซึ่งปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าจนพ้น ทุกข์ถาวร
เพราะท่านทั้งหลายเหล่านี้ ย่อมไม่ทำให้พวกเทออกหักซ้ำซาก พวกเทออาศัยสรณะนั่นแล้ว ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้.
ตายแระ... เอาบทสวดมนต์มายำเสียจนเกือบจำความเดิมไม่ได้ สิ่งที่อยากบอกก็ตามนั้นครับ ไม่มีสรณะใดจักเกษมเท่าพระไตรรัตน ไม่มีสรณะใดจักปลอดความผิดหวังเท่าพระรัตนตรัย แต่ในเมื่อเอาหัวใจไปฝากไว้ผิดที่ซะแล้ว จักทำอย่างไรดี? ทุกข์เพิ่มขึ้นทุกวันจนรู้สึกอยากฆ่าตัวตาย ซึ่งก็พอดีช่วงนั้นมีบทความเรื่องฆ่าตัวตายออกมาเยอะทีเดียว เช่น ถ้ามีคนมาบอกกับเราว่า "อยากตาย" หรือ เธอผู้เป็นที่รัก
กว่าจักได้เขียนเรื่องนี้ก็ไม่ทันเหตุการณ์ซะแระ แม้ข้าพเจ้าเองก็เคยมีความคิดอยากฆ่าตัวตายอยู่เหมือนกัน แต่หลังจากได้เข้ามาค้นพบพระพุทธศาสนา ก็รู้ได้เลยว่า ความคิดเหล่านี้สิ้นคิดสิ้นดี นอกจากไม่สร้างสรรค์ ไม่พ้นทุกข์ที่กำลังเจออยู่แล้ว ยังพาตัวเองให้เดือดร้อนอย่างแสนสาหัสด้วย
เผอิญข้าพเจ้าคงไม่ได้ฆ่าตัวตายมาหลายชาติแล้วกระมัง ความคิดฆ่าตัวตายแม้มีอยู่ แต่ก็ไม่เคยได้ลงมือทำจริง ๆ จัง ๆ บอกได้เลยครับ คนที่คิดฆ่าตัวตายแล้วทำสำเร็จ เขาเคยทำมาแล้วในอดีตชาติ อย่างคนญี่ปุ่น ทำไมฆ่าตัวตายกันเยอะ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเป็นประเทศที่มีความเครียดสูงติดอันดับโลก อีกส่วนหนึ่งที่คนไม่ค่อยรู้ เป็นเพราะวัฒนธรรมในอดีตของเขา ก็นิยมฆ่าตัวตาย อย่างการทำฮาราคีรีคว้านท้องตัวเองตาย หรือฝูงบินกามิกาเซ่ เป็นต้น โดยมีความเชื่อผิด ๆ ว่า หากปลิดชีพตนเอง หรือปลิดชีพผู้อื่นด้วยจิตว่าง ไม่เป็นบาป ฆ่าแล้วจักไปสวรรค์ (เพราะทำคุณให้ประเทศชาติ) อย่างนี้เขาเรียกว่า เข้าฌานทำบาป เขาคงได้ไปเกิดในภพพิเศษซึ่งหาคำอธิบายได้ยากกระมัง
เหล่าคนทั้งหลายที่ได้เคยฆ่าตัวตายมา ในอดีตชาติ ด้วยเหตุกระไรก็แล้วแต่ จักมีแนวโน้มคิดฆ่าตัวตาย และลงมือฆ่าตัวตายมากกว่าคนที่ไม่เคยฆ่าตัวตายมาก่อน คือนิสสัยที่สั่งสมมา ประกอบไปด้วยความคิดที่จักหนีทุกข์ หนีปัญหาตลอดเวลา พอชาติปัจจุบัน เจอปัญหานิด ๆ หน่อย ๆ ก็ชวนย้อนกลับไปหาความเคยชินเก่า ๆ
เคยได้ยินเรื่องปลาทองปากเหม็นไหม? เรื่องมีอยู่ว่า ชาวประมงจับปลาทองมีสีสันสวยสดงดงามได้ตัวหนึ่ง เลยเอามาถวายพระราชาเผื่อจักได้เงินใช้บ้าง พอเจ้าปลาทองอ้าปากกลิ่นปากก็เหม็นไปทั้งพระราชวัง สมัยนั้นยังไม่มีเดนทิสเต้ระงับกลิ่นปาก พระราชาเลยเอาปลาทองน้อยไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่า ปลาตัวนี้มีความเป็นมาเยี่ยงไร พระพุทธเจ้าก็ทรงสาธยายกรรมในอดีตของปลาทองปากเหม็นว่า เคยเกิดเป็นมนุษย์แล้วได้บวช ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่พักหนึ่ง แล้วก็เปลี่ยนไปเป็นมิจฉาทิฏฐิ เที่ยวด่าว่า ภิกษุอื่น มีภิกษุพี่ชายเป็นต้น ให้ฆราวาสฟัง ครั้นละอัตภาพจากชาตินั้นแล้ว ก็ไปเสวยทุกข์แสนสาหัสในอเวจีมหานรกเสียกัปหนึ่ง พ้นขึ้นมาแล้วเศษกรรมพามาเกิดเป็นปลาทอง ด้วยอานิสงส์ที่เคยรักษาศีลได้ดี จึงเป็นปลาทองที่มีสีสันงดงาม และด้วยอานิสงส์ที่เคยไปปรามาสภิกษุพี่ชายไว้ จึงกลายเป็นปลาทองปากเหม็น
ครั้นพระพุทธองค์ทรงแสดงบุพกรรมเรียบร้อย ปลาทองตัวน้อยก็ทูลถามถึงภิกษุพี่ชายว่า ไปอยู่ที่ไหนเสียแล้ว สมเด็จพระประทีปแก้วตรัสตอบว่า ไปนิพพานหมดแล้ว คุณปลาทองรู้สึกโซแซดในกรรมชั่วของตัวเอง เลยเอาหัวโหม่งขอบภาชนะตาย ลงไปเกิดในอเวจีอีกรอบ
อ่านแล้วให้ชวนสมเพช ปุโถ๊ว์เอ๋ย... กว่าจักขึ้นมาจากอเวจีมหานรกต้องใช้เวลายาวนานชั่วกัปป์ชั่วกัลป์ ขึ้นมาเป็นปลาได้แป๊บเดียว คุยไม่กี่ประโยค น้อยใจเอาหัวโขกภาชนะตายแล้วก็ลงอเวจีใหม่ ทำไมไม่คิดอะไรดี ๆ เช่น ต่อไปอั๊วะจักเป็นปลาทองที่ดี รักษาศีล ๕ จักได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ ได้บวช ได้ดำเนินชีวิตใหม่ ไม่ให้เฮงซวยแบบเดิมอีก
อนิจจา ในวัฏสงสารนี้ ไม่มีสิ่งใดน่ากลัวไปเกินกรรมของเราเองดอก ที่ปลาทองปากเหม็นต้องเวียนกลับไปเกิดในนรกอีก ก็ด้วยวิบาก หรือผลกรรมที่ทำชั่วนั่นเอง ทำนองเดียวกัน บุคคลที่ฆ่าตัวตายแล้วชาติหนึ่ง ก็จักคิดแบบไม่ฉลาด แล้ววนเวียนฆ่าตัวเองเหมือนปลาทองปากเหม็นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า มิรู้เลยว่า วันใดจักพ้นจากวงจรอุบาทว์นี้
นี่เป็นเหตุผลแรกที่เราไม่ควรฆ่าตัวตาย
เหตุผลที่สอง การฆ่าตัวตายนับเป็นการทำปาณาติบาต เบียดเบียนชีวิตสัตว์ คือเบียดเบียนชีวิตตัวเองอย่างหนึ่ง อย่างที่เคยเขียนไปไม่รู้กี่ครั้งว่า ภพที่เราจักไปเกิดต่อไปนั้น มีจิตสุดท้ายสำคัญที่สุด ก็จิตสุดท้ายกำลังเศร้าหมองเพราะทำปาณาติบาต ประกอบกับเศร้าหมองเรื่องอื่น ๆ (ที่เป็นเหตุให้ฆ่าตัวตาย) เป็นทุนอยู่แล้ว จิตมันเลยเศร้าหมองคูณสองซุปเปอร์แก๊งค์ แล้วยกกำลังแปดอีกแปดครั้ง มีทุคติเป็นที่ไปแน่นอน
เหตุผลที่สาม คนทั่วไปที่คิดฆ่าตัวตาย มักเจอทุกข์ชนิดที่เรียกว่า เกินรับได้ ชาตินี้ฉันรับทุกข์ไม่ไหวแล้ว ขอไปเกิดใหม่เพื่อจักได้เจอชีวิตที่ดีกว่าเถอะ ป๊าดโธ๊... จากเหตุผลข้อที่แล้วนั่นแหละ ท่านมั่นใจได้อย่างไรว่า ชาติต่อไป จักดีกว่าเดิม ทุกข์น้อยกว่าเดิม ทรมานกว่าเดิมสิไม่ว่า อย่างหนังเรื่อง "What the dream may come" นี่ เขาก็ทำหนังได้ใกล้เคียงความเป็นจริง ในเรื่องนางเอกฆ่าตัวตาย แล้วนางเอกก็สร้างภพพิเศษขึ้นแล้วขังตัวเองอยู่ในภพนั้น ใครก็ช่วยบ่ได้ กว่าจักพ้นจากคตินี้ก็เชื่อว่า นานนักหนา ทั้งนี้ทั้งนั้นหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน สิงห์บุรี เคยสอนไว้ครับ หากต้องการช่วยเหลือผู้ที่ฆ่าตัวตาย ให้ไปนั่งสมาธิที่ที่คนนั้นฆ่าตัวตาย แล้วเจาะจงอุทิศส่วนกุศลจากการนั่งสมาธินั้นให้ ก็ทำให้คนนั้นไปเกิดได้เร็วขึ้น
เหตุผลที่สี่ เหตุการณ์ที่ไม่น่ารักไม่น่าพอใจจนเกินทนได้ที่เราเจอนั้น อาจเป็นวิบาก (ผลของกรรม) ที่เราต้องรับไม่ชาติใดก็ชาติหนึ่ง แม้เราหนีไปด้วยการฆ่าตัวตาย สุดท้ายหลังจากเราใช้กรรมจากการฆ่าตัวตายเสร็จแล้ว เราก็ต้องมารับกรรมตัวเดิมที่เราหนีไปอยู่ดี ฉะนั้นทนรับมันเสียชาตินี้ แล้วหนีเข้านิพพานไปเลยดีกว่าครับ เรื่องนี้มีตัวอย่างตั้งมากมาย กรณีพระโมคคัลลานะถูกทุบก่อนนิพพาน เพราะในอดีตชาติเคยทุบบุพการีจนถึงชีวิตมา ท่านมีฤทธิ์มากเหลือเกิน ใช้ฤทธิ์เหาะหนีไปถึง ๒ คราว แต่ครั้นทราบว่า เป็นบุพกรรมในอดีตชาติ ท่านก็ยอมให้โจรทุบ เป็นต้น เรื่องหนีเข้านิพพาน ก็มีตัวอย่างขององคุลีมาล ฆ่าคนเสียตั้งเกินพัน ครั้นบวชแล้ว บรรลุอรหันต์แล้ว ก็รับวิบากอีกไม่มาก (แค่ถูกคนขว้างหินใส่ ไม่ถึงกับต้องมาเกิดให้เขาฆ่าเสียพันรอบ) ก็หนีเข้านิพพานไป วิธีฉลาด ๆ คือหาทางทำบุญละลายบาป (บาปลบล้างไม่ได้ครับ แต่สามารถทำให้เจือจางได้ เวลารับวิบากจักมีตัวช่วยให้ทุกข์เบาบางลง ด้วยการสร้างบุญสร้างกุศล) หรือหาทางไม่ต้องมาเกิดอีกครับ (การหาทางไม่ต้องมาเกิดเป็นบุญอันยิ่ง) ไม่ใช่ไปหาทางหนีกรรม หนีกระไรก็หนีได้ครับ แต่กรรมนี่ หนีไม่พ้น พระพุทธเจ้าเองก็ยังหนีไม่พ้น ก่อนปรินิพพานทรงกระหายน้ำมาก สั่งให้พระอานนท์ไปตักน้ำมาตั้ง ๓ ครั้งกว่าจักได้เสวย ก็เพราะเคยไปทำวัวอดน้ำไว้ในอดีตชาติ
เหตุผลที่ห้า อีตอนผิดหวัง อีตอนสอบไม่ติด อีตอนถูกแม่ด่า อีตอนน้อยใจแฟน อีตอนอกหักรักคุด ตอนวางแผนจักปลิดชีวิตตัวเองหน่ะ มันห้าวครับ คิดว่า ทนทรมานแค่แป๊บเดียว เดี๋ยวก็สบายแล้ว ความเป็นจริงในวินาทีที่จิตจักออกจากร่างนั้น มักทรมานจนแทบสิ้นสมประดีครับ ในวินาทีสุดท้ายนั้นมักคิดว่า เฮ้ย... ไม่เอาแล้ว ทำไมมันทรมานอย่างนี้วะ พวกน้ำยาล้างส้วม หรือยาฆ่าหญ้าที่กินเข้าไป มันกัดกระเพาะจนไม่มีชิ้นดี หรือตอนที่เชือกที่แขวนคอกดหลอดลมจนหน้าเขียวหน้าเหลือง ถึงตอนนั้นจักดิ้นสุดใจครับ ความห้าวเมื่อกี้หายหมด ดิ้นจนขี้เยี่ยวไหลนองพื้น เชือกก็ไม่คลายตัว กระทั่งการตายแบบชั่วพริบตา เช่น ให้รถไฟเหยียบ หรือกระโดดตึกตาย วินาทีสุดท้ายนั้นก็เจ็บปวดรวดร้าวไปทั่วสรรพางค์กายอย่างแสนสาหัสเพื่อนโยมแม่คนหนึ่งชื่อ ดร.ผาณิต กันตามระ มักเล่าถึงประสบการณ์การฆ่าตัวตายของเธออยู่บ่อย ๆ เธอบอกวินาทีสุดท้ายนั้นเธอนึกถึงพระพุทธเจ้า เลยรอดมา จักมีสักกี่คนครับที่ระลึกถึงพระพุทธเจ้าได้ในวินาทีที่สุดทรมานนั้น
อีกประการหนึ่งถึงแม้จักรอดชีวิตมาไำด้ ส่วนใหญ่พวกยาแรงที่ใส่ปากเข้าไป มันไปทำลายอวัยวะภายในเสียจนไม่สามารถใช้งานได้ดีดังเดิม ดังเช่นเราจักเห็นคนที่ถูกผ่าตัดจนไม่มีกระเพาะ หรือ ดร.ผาณิต กันตามระ นี้ หลังจากรอดชีวิตมา ก็เวียนเข้าเวียนออกโรงพยาบาล ด้วยโรคตับไตไส้ปอดเสื่อมสภาพ คิดดูกันให้ดี ๆ ครับ
เหตุผลที่หก มีหลายคนครับที่มักคิดว่า ชีวิตเป็นของเรา เราจักทำกระไรกับชีวิตก็ได้ ข้าพเจ้าขอให้ท่านคิดเสียใหม่ ชีวิตยังไม่ได้เป็นของเราอย่างสมบูรณ์ครับ ตราบใดที่คุณพ่อคุณแม่ผู้มีพระคุณทั้งหลายยังมีชีวิตอยู่ ท่านทั้งหลายนี้คือเจ้าของชีวิตของเราตัวจริง อย่าทำให้ท่านเสียใจ จักเป็นกรรมหนัก ฉะนั้นหากอย่างไรก็จักทำลายชีวิตตัวเองให้ได้ รอคุณพ่อคุณแม่ตายจากไปเสียก่อนครับ แล้วค่อยจัดการ
อีกประเภทคือพวกฆ่าตัวตายประชดแฟน ประชดชีวิต เรียกร้องความสนใจ คิดใหม่ได้ครับ จักไปทำกระไรเพื่อคนที่เขาไม่ได้รักเรามากมาย ยังมีคนที่รักเราแล้วเรายังไม่ได้ทำกระไรเพื่อพวกเขาตั้งเยอะแยะ คุณพ่อคุณแม่ผู้มีพระคุณนั่นไง ทำกิจของเราให้สมบูรณ์ก่อน แล้วอยากทำกระไรก็ค่อยไปทำ
เหตุผลที่เจ็ด เวลาที่เราเจอทุกข์หนัก ๆ ทั้ง ๆ ที่ก็ประพฤติตนเป็นคนดี ให้ทานสม่ำเสมอ อยู่ในศีลในธรรม แถมเข้าวัด ฟังธรรม ปฏิบัติธรรม มีทำสมาธิ เป็นต้น อย่างต่อเนื่องด้วย อันนี้ อ.เล็ก ท่านเคยปรารภไว้ เวลาที่เรานึกว่าเราแย่ที่สุด บางทีอาจกำลังเหลืออีกนิดเดียว เราจักข้ามเขตจากโลกียะ (โลก ๆ) ไปสู่โลกุตตระ (เหนือโลก) เพราะยามใดที่เราปฏิบัติจนเฉียดใกล้ความเป็นพระอริยะ พญามารท่านไม่อยู่เฉยแน่ จักเข้ามาทดสอบอย่างหนักหน่วง เพราะแค่เป็นอริยบุคคลเบื้องต้นอย่างพระโสดาปัตติมรรค ก็ปิดประตูอบาย ไม่มีโอกาสตกนรกอีก และส่วนใหญ่ก็ไปนิพพานกันหมดในชาตินั้น ๆ ด้วย ตามความเห็นของข้าพเจ้า พระโสดาบันจึงเป็นบันไดขั้นแรกที่ยากที่สุด ครั้นเห็นกระแสพระนิพพานแล้ว ก็ไม่ยากแล้ว ดังนั้นในยามที่สุด ๆ ของชีวิตก็ให้คิดว่า บางทีนี่อาจจักอีกนิดเดียว เราก็พ้นแล้ว อีกนิดเดียวเราก็ผ่านแล้ว สู้ต่อไปครับ
เหตุผลที่แปด บางคน (เช่น คุณโยมนิด <นามสมมุติ>) เห็นว่า ชีวิตน่าเบื่อหน่าย มีชีวิตไปวัน ๆ รอความตาย ข้าพเจ้าเองก็เคยอยู่ในอารมณ์แบบนั้น นานนับปี ความจริงแล้ว โลกสดใสกว่าที่คิดครับ ก็แค่เราลุกขึ้นมาทำอะไรดี ๆ ในชีวิต ทำสิ่งที่ไม่เคยทำ เช่น งานอาสาช่วยเหลือสังคมต่าง ๆ การทดแทนคุณของชาติ (ที่เราทำได้) แทนคุณของบรรพบุรุษที่สละชีวิตรักษาผืนแผ่นดินนี้ไว้ให้เราได้มาเกิด การทำสาธารณประโยชน์ ฯลฯ คิดทุกวันครับว่า เราทำอะไรเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นได้บ้าง? ทำอะไรให้ผู้อื่นมีความสุขได้บ้าง? ทำทุกอย่างที่ทำแล้วเราไม่เดือดร้อน เริ่มจากคนในบ้านก่อนก็ได้ แล้วค่อยขยายไปหาสังคมที่ใหญ่ขึ้น แค่นี้ชีวิตก็เบิกบานทะโล่ปะสะโมสุโข (ช่วงแรกอาจฝืน ๆ หน่อย ทำได้จนเป็นกิจวัตรแล้ว จิตเบิกบานจริง ๆ ครับ) ชีิวิตไม่ได้ไร้ค่าอย่างที่ท่านคิดดอก ท่านทำให้มันไร้ค่าเอง
เหตุผลที่เก้า มีเหมือนกันครับในสมัยพุทธกาล ภิกษุที่ไปนิพพานด้วยการฆ่าตัวตาย แต่มีเพียงจำนวนน้อย และประการสำคัญอย่างที่บอกไป จิตสุดท้ายสำคัญที่สุดว่า ภพภูมิต่อไปเราจักไปไหน เหล่าพระอรหันต์ขีนาสพที่เข้านิพพานด้วยการฆ่าตัวตาย มีจิตสุดท้ายที่เห็นทุกข์เห็นโทษของการมีขันธ์ ๕ อย่างแท้จริง มิใช่เจอปัญหาชีวิตมากมายเหลือเกิน ไม่ไหวแล้วชีวิตนี้ชาตินี้ ขอหนีไปตายเอาดาบหน้าดีกว่า เผื่อจักเกิดมาชาติหน้าดีกว่าเดิม <---แสดงให้เห็นว่า ยังไม่ได้เห็นโทษของการเกิดอย่างแท้จริง อย่างนี้เรียกว่า "หนีทุกข์" หนีเท่าไหร่ก็ไม่พ้นทุกข์ครับ มีแต่ทุกข์หนักยิ่งกว่าเดิม เพราะชาติหน้าที่ว่า มันคือ "นรก"
มีเหตุผลอีกร้อยแปดพันประการครับ ที่เราไม่ควรคิดสั้นฆ่าตัวตาย นี่เพียงยกตัวอย่างมาเล็กน้อยเท่าที่นึกออก
หากวันนั้นที่ข้าพเจ้าพบทุกข์อย่างแสนสาหัสแล้วเลือกปลงชีวิตตัวเองเสีย ข้าพเ้จ้าคงกำลังนั่งเสียดายอย่างทรมานอยู่ที่ไหนสักแห่งในปรโลกว่า "อีกนิดเดียวเท่านั้น ข้าพเจ้าก็จักได้มีความสุขอย่างล้นเหลือ ในร่มผ้ากาสาวพัสตร์ ไม่น่าเลยกรู"
ฆ่าตัวตายอย่างไรก็คงไม่พ้นทุกข์ ทนสู้ทุกข์ต่อไปเถอะครับ ฟ้าหลังฝนมักงดงามเสมอ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น