หลายร้อยปีก่อน บุรุษเคราครึ้มผมยาวเชื่อมั่นในตัวเองสูง หน้าตาหล่อเหลา เอาจริงเอาจัง มีอาชีพทำนายทายทักมาแต่เด็ก ดื้อรั้น มานะทิฏฐิมาก ต้องการพิสูจน์สิ่งที่เขาเคยพยากรณ์ฉีกหน้าถอนหงอกเหล่าหมอดูแก่ชะแร้วัยอีก ๗ ท่านไว้เมื่อเยาว์วัย
ยิ่งไปกว่านั้นเขาเชื่อแน่ว่า การหลุดพ้นต้องอาศัยการทรมานตนเท่านั้น เพราะเห็นเหล่านักพรตบำเพ็ญเพียรกันมาตั้งแต่เด็ก เป็นที่น่าศรัทธา เหล่าฤๅษีชีไพรบ้างก็สามารถแสดงฤทธิ์เหาะเหินเดินอากาศได้ บ้างก็ทำความอัศจรรย์ได้นานาประการ ทำไมเขาถึงจักไม่ศรัทธาเล่า? จากความเชื่อฝังหัวในเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เหนือมนุษย์ธรรมดาของเหล่าผู้บำเพ็ญเพียร เขาจึงเชื่อในสิ่งที่เห็นแล้ว พิสูจน์ด้วยตาตนเองแล้ว มากกว่าตำราทำนายลักษณะเสียอีก
เมื่อจังหวะแห่งการพิสูจน์มาถึง ทันทีที่ทราบข่าวว่า บุคคลที่เขาเคยพยากรณ์ไว้เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน สละเพศคฤหัสถ์ออกบวชเป็นบรรพชิต เขาจึงรีบชี้ชวนบุตรหลานอีก ๔ ท่านของเหล่านักดูหมอแก่ ๆ ทั้ง ๗ ไปเป็นประจักษ์พยานว่า สิ่งที่เขาเคยพยากรณ์ไว้เป็นคติเดียวว่า บุรุษผู้นี้ ถึงกาลแล้ว จักต้องออกบวชและได้บรรลุธรรมเท่านั้น บัดนี้จักเป็นจริงแล้ว
ชายรุ่น ๆ อีก ๔ ท่านออกบวชด้วยหวังลบล้าง คำสบประมาทให้บรรพบุรุษตนเช่นกัน ทั้งนี้บุรุษทั้ง ๕ ก็หวังว่า จักได้ฟังธรรมที่ไม่เคยฟังก่อนใครอีกด้วย เป็นของแถม
ออกติดตามปรนนิบัติรับใช้ ดูบุรุษที่ตนทำนายไว้ ทรมานร่างกายตนเองอยู่ ๖ ปี ด้วยการกลั้นหายใจบ้าง อดอาหารบ้าง ที่สุดบุรุษนั้นก็ละความเพียร เวียนไปเป็นผู้มักมากในกาม
บุรุษนักทำนายเคราครึ้มเหมือนถูกตบหน้าด้วยรองเท้าส้นสูงสักพันคู่ ด้วยคำทำนายของตนเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ไม่แม่นยำเสียแล้ว อับอายขายขี้หน้าหมอดูแม่น ๆ รุ่นเยาว์ที่ออกบวชติดตามมาเป็นประจักษ์พยานยิ่งนัก แต่อย่างไรเสีย เหล่าบรรพบุรุษของหมอทำนายเด็ก ๆ เหล่านี้ ก็เคยทำนายแบบเดียวกับเขา เพียงแต่ทำนายเป็น ๒ คติว่า ไม่ออกบวช ก็จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ยังไม่น่าขายหน้าสักเท่าไหร่
แต่กับชาวกรุงกบิลพัสดุ์แล้ว เขาไม่รู้จักเอาหน้าไปไว้ที่ใดเลย เดินเข้าเมืองคงต้องเอาปี๊บคลุมหัว เพราะเป็นถึงโหรหลวงของพระมหากษัตริย์ กลับทำนายผิดพลาด จึงประกาศอย่างเดือดดาลว่า จักไม่ขอรับใช้เจ้านักบวชมักมากในกามผู้นี้อีกต่อไป แล้วพากันหนีไปปรึกษาหารือทางหนีทีไล่กันอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน
คืนถัดมานั้นเอง พระมหาบุรุษก็บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ เสวยวิมุตติสุขอยู่ ๗ สัปดาห์แล้ว ก็เสด็จมาโปรดปัญจวัคคีย์ฤๅษีทั้งห้า
แน่นอนว่า โกณฑัญญพราหมณ์มีความโกรธแค้นเคืองมากเสียยิ่งกว่าใคร ด้วยความที่อายุปูนนี้แล้ว ยังต้องมาถูกซินแสเด็ก ๆ คราวลูกคราวหลานถอนหงอก ทั้งยังเป็นผู้มีอาวุโสสูงสุดในกลุ่ม จึงจัดแจงตกลงกันว่า "แน่ะ... พระสมณโคดมเสด็จมาแล้ว ขอพวกเธอจงอย่าลุกต้อนรับเลย เราต้องทำให้พระสมณโคดมได้อาย" ครั้นพอพระพุทธองค์เสด็จมาถึง ก็ลืมข้อที่ตกลงกันไว้สิ้น
กระนั้นก็ยังถือทิฏฐิกล้า ใช้วาจาจ้วงจาบ เอ่ยพระนามของพระองค์ แลเรียกพระองค์ว่า อาวุโส ที่ปกติใช้เรียกผู้น้อย (ถ้าเรียกผู้ใหญ่ใช้คำว่า ภันเต ภควา) หลงลืมตำหรับตำราที่ตนเคยทำนายทายทักไว้ว่า พระมหาบุรุษผู้นี้จักเสด็จออกภิกเนษกรมณ์และบรรลุเป็นศาสดาเอกของโลกเสียสนิท ยึดมั่นอย่างยิ่งว่า อย่างไรเสีย ทางหลุดพ้นมีทางเดียว คือ ต้องทรมานกายเท่านั้น
พระบรมศาสดาได้ทรงทรมานทิฏฐินั้น ด้วยพระธรรมเทศนาธัมมจักกัปปวัตนสูตร แปลเป็นไทยง่าย ๆ ก็ได้ความว่า "ฤๅษีทั้งห้าเอ๋ย บรรพชิตไม่ควรเสพส่วนสุดทั้งสอง คือ หลงไปในกาม ๑ และทรมานตน ๑ ไม่เป็นไปเพื่อปัญญาเลย ไม่ใช่ทางของพระอริยะเลย" ตบหน้าพราหมณ์โกณฑัญญะอีกฉาดใหญ่ว่า เจ้าความเชื่อที่เชื่อกันมาเป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นปีสืบ ๆ กันมาว่า ต้องทรมานกายแล้วถึงบรรลุ นั่นมันเฮงซวย!!!
ทรงพระตบหน้าโกณฑัญญพราหมณ์เสร็จ ก็ตรัสต่อถึงปฏิปทาอันประเสริฐ ซึ่งก็คือ มัชฌิมาปฏิปทา ทางสายกลาง ตบท้ายด้วยอริยสัจ ได้แก่ มรรคมีองค์ ๘ เป็นต้น ขึ้นต้นด้วย "สัมมาทิฏฐิ" ความเห็นชอบตามทำนองคลองธรรม
พล่ามมาเสียยาวเหยียดก็เพื่อจักบอกสิ่งนี้แล ว่า "สัมมาทิฏฐิ" นี่สำคัญนะ พระองค์ถึงเอามาแสดงไว้แรกสุด เพราะหากเริ่มต้นด้วย "มิจฉาทิฏฐิ" แล้วไซร้ อย่าไปหาสัมมาอย่างอื่นเลย มิจฉาไปหมดนั่นแล
พระองค์ทรงพระกระตุกหนวดของโกณฑัญญพราหมณ์อย่างรุนแรงเลยนะ ลองนึกสภาพหมอดูเซ้วจัด ๆ มั่นใจสูง ๆ ตอนเด็ก ๆ อาจหาญฉีกหน้าพราหมณ์ที่เป็นโหรหลวงแก่กว่าตนอีก ๗ ท่าน ด้วยการทำนายเป็นคติเดียว จากนั้นทำนายกระไรก็ถูกต้องไปหมดมาตลอดยี่สิบกว่าปี อายุวัยกลางคน ศึกษาตำรามามาก จบไตรเภท ทั้งก็เห็นเหล่านักพรตทั้งหลายแสดงอิทธิฤทธิ์มาทั่วปฐพีด้วยตาตนเอง เข้าใจว่า ฤทธิ์เหล่านี้ก็เกิดมาจากการทรมานตนของฤๅษีดัดตนทรมานตนทั้งหลาย การหลุดพ้นก็เช่นกัน เพียงแต่ต้องทรมานให้ยิ่งกว่าที่เคยมีมา และความเชื่อเช่นนี้ก็มีมาเป็นพัน ๆ หมื่น ๆ ปีก่อนตนเกิดเสียอีก เชื่อมั่นจนลืมคำพยากรณ์ การจักได้เป็นศาสดาเอกของพระมหาบุรุษ ที่ตนเคยทำนายไปเสียสิ้น
แล้ววันหนึ่งก็มีคนมาบอกว่า ไอ้ที่เอ็งเชื่อหน่ะ มันเห่ย ใช้ไม่ได้ กระจอก เฮงซวย เป็นเราคงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ชกหน้าคนพูดเช่นนั้นไปแล้ว จริงไม่จริง? แต่นี่เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำลังทรงแสดงพระธรรมเทศนาอยู่ แม้ไม่เชื่อว่า พระองค์ทรงเป็นพระอรหันต์หมดกิเลสแล้ว ก็เป็นเชื้อพระวงศ์มาก่อน อีกทั้งตรัสเตือนไว้ก่อนแล้วว่า พระองค์ทรงบรรลุธรรมแล้ว โกณฑัญญพราหมณ์แทนที่จักโกรธ จึงตั้งใจฟัง ที่สุดก็ละมิจฉาทิฏฐิได้
เมื่อวานไปอ่านเจอข้อความที่น่าหน่ายใจว่า "คนจะทำบุญ เพราะกลัว นรก สวรรค์ ชีวิตหลังความตาย แบบที่ ไตรภูมิพระร่วง ได้ป้อนความเชื่ออันนี้ ให้อยู่เหนือคำสอนที่แท้จริงของพระองค์ก็ตาม"
ก็พยายามทำความเข้าใจว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ได้อยู่ "เหนือ" แต่อยู่ "ใน" คำสอนของพระองค์ ในพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ และในปกรณ์บาลีโบราณอีกหลายเล่ม เหมือน ๆ กับที่ กาลามสูตร ไม่ได้อยู่ "เหนือ" แต่อยู่ "ใน" คำสอนของพระพุทธองค์ วันดีคืนดีท่านพุทธทาสไปหยิบขึ้นมาแปลเป็นภาษาต่างประเทศ ฝรั่งอ่านแล้วเลยตื่นเต้นกันยกใหญ่ ไตรภูมิพระร่วง หรือเตภูมิกถาก็เช่นกัน ไปเอาความในพระไตรปิฎก (สามารถอ้างอิงได้ อยู่ในเทวทูตสูตร มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๑๔) ซึ่งบันทึกเป็นภาษาโบราณอ่านยาก มาแต่งเป็นวรรณคดี หรือภาษาปัจจุบัน ให้ชาวบ้านชาวช่องตาสีตาสาได้รู้ความเป็นจริงอิงพระไตรปิฎก แต่กลับถูกหาว่า งมงาย ไร้แก่นสาร อุปโลกน์นรกสวรรค์ขึ้นมาขู่ให้คนกลัวผลของความชั่ว ขยันหมั่นทำความดี และถูกยกให้อยู่เหนือคำสอนที่แท้จริง
ข้าพเจ้าคงไม่ไปอาจหาญแก้ไขกระไรใดใด เพราะข้าพเจ้าไม่ได้มีหน้าที่ถอดถอนทิฏฐิของใคร และคงมีแต่ถูกเขาเอารองเท้าเขวี้ยงหัวเอาด้วยความโกรธตัวสั่น แค่ตัวหนังสือไม่กี่ตัว ก็พอจักบอกได้ว่า ใครเป็นผู้ยัดเยียดความคิดสบประมาทพระธรรม หรือพระไตรปิฎกว่า "ไม่น่าเชื่อถือ" เอาไว้
ถ้าพระไตรปิฎกไม่น่าเชื่อถือแล้วไซร้ เราควรจักเชื่อกระไรดี ควรยึดกระไรเป็นสรณะดี หรือควรเชื่อ "อัตตโนมติ" ความเห็นส่วนบุคคลของครูอาจารย์ ที่เขาเรียกว่า "อาจริยวาท" ให้มากกว่า คำที่มีมาในพระไตรปิฎก กระนั้นหรือ?
ถ้าพระไตรปิฎกไม่น่าเชื่อถือแล้วไซร้ ก็น่าจักอนุมานได้ว่า พระอริยเจ้าคงไม่มีหลงเหลืออยู่แล้ว เพราะเนื้อแท้ ๆ ของพระไตรปิฎก หรือพระธรรมวินัยอันเป็นตัวแทนของพระศาสดา ได้ถูกบิดเบือนไปตามกาลเวลา จนไม่เหลือเค้าโครงเดิมแล้ว แต่ทำไมยังเห็นครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ที่ท่านเคารพพระธรรมวินัยเหนือเศียรเหนือเกล้า กระดูกเผาแล้วกลายเป็นพระธาตุ สังขารไม่เน่าเปื่อย มีให้เห็นดาษดื่น พระธรรมวินัยนั้นก็มาจากพระไตรปิฎกมิใช่หรือ? (ตะแบงออกไปอีกสิว่า การที่กระดูกเผาแล้วเป็นพระธาตุ สังขารไม่เน่าเปื่อย ไม่ใช่หลักฐานของพระอรหันต์)
ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นใครสักคนเดียว ที่มรณภาพแล้ว สังขารไม่เน่าเปื่อย หรือเผาแล้วกระดูกเป็นพระธาตุ สมัยมีชีวิตอยู่ ปรามาสพระไตรปิฎกในลักษณะนี้
มีแต่ผู้ที่เผาแล้ว หาอัฐิธาตุมาบูชาไม่เจอเท่านั้น ที่พูดปรามาสเช่นนั้น (ถูปารหบุคคล-บุคคลที่ควรบรรจุอัฐิไว้ในสถูปเพื่อบูชา ในปรินิพพานสูตร มีพระอรหันตสาวกรวมอยู่ด้วย) และก่อนที่เขาคนนั้นจักเข้าสู่การปรามาสอย่างรุนแรง จ้วงจาบถึงพระอริยบุคคล เขาก็เริ่มมาจาก "มิจฉาทิฏฐิ" เล็ก ๆ นี่แล
มิจฉาทิฏฐิเล็ก ๆ ก็สามารถทำให้คนเราแปลพระไตรปิฎกได้เป็นเล่ม ๆ ให้เข้ากับมิจฉาทิฏฐิของตน มิจฉาทิฏฐิเล็ก ๆ ก็พาให้คนเราคิดไปเองว่า ตนบรรลุมรรคผลนิพพานแล้ว เมื่อคิดว่าบรรลุแล้วจบกิจแล้วก็ประกาศธรรมะผิด ๆ นั้นออกไป ด้วยเข้าใจว่า เป็นธรรมะที่ถูกต้อง ผู้ที่ไปอ่านธรรมะผิด ๆ แล้วถูกกิเลสตน ก็หลงเชื่อหัวปักหัวปำ และพาให้หลงปรามาสพระธรรมวินัยเข้าอีก เป็นทอด ๆ อย่างเช่นตัวอย่างที่ยกมานี่แล ฉะนั้นจึงอย่่าสงสัยว่า ทำไมเรื่องเล็กน้อยแค่ประโยคเดียว ข้าพเจ้าจึงพล่ามได้ตั้งหนึ่งเอ็นทรี่ยาว ๆ ก็เพราะ ทิฏฐินั้นสำคัญไฉน!!!
เพราะปฏิเสธนรกสวรรค์ จึงปฏิเสธวัฏสงสาร เพราะปฏิเสธวัฏสงสาร จึงปฏิเสธพระสูตร เพราะปฏิเสธพระสูตร จึงปฏิเสธพระไตรปิฎก เพราะปฏิเสธพระไตรปิฎก จึงปฏิเสธพระธรรมวินัย เพราะปฏิเสธพระธรรมวินัย จึงปรามาสพระอริยสงฆ์ เพราะปรามาสพระอริยสงฆ์ จึงเข้าถึงวินิบาตนรก ด้วยประการฉะนี้แล
อนึ่งสิ่งที่พล่ามมาทั้งหมด ก็อาจเป็นแค่อัตตโนมติของข้าพเจ้าเอง อย่าได้เชื่อเลย ลองไปค้นพระไตรปิฎกดูด้วยตนเองเถิด อย่ามัวแต่อ่านความเห็นของครูอาจารย์ที่ชี้ชวนให้เห็นผิดอยู่เลย
สิ่งที่พอจักมั่นใจได้ คือ การปรามาสพระธรรมนั้น เทียบเท่าการปรามาสพระพุทธเจ้าแน่นอน อันนี้ขอยืนยัน
เจริญธรรม ฯ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น