พระโสดาบันนั้นดีไฉน
สืบเนื่องมาจากไปอ่านบล็อกของรุ่นน้องคนหนึ่ง เห็นเขาอธิษฐานให้ไปเกิดทันพระศรีอาริยเมตไตรย พระพุทธเจ้าองค์ต่อไป เลยคันนิ้วขึ้นมา เอาคีย์บอร์ดมาเกา พิมพ์เม้นท์เสียยาวเหยียด ถ้าเป็นเรื่องธรรมะนี่ น้ำไหลไฟดับทีเดียว ไหน ๆ ก็เสียเวลาเกาไปหลายชั่วโมง เห็นว่า ผลพลอยได้จากการเกานิ้วด้วยคีย์บอร์ดนี้ จะไปฝังตัวอยู่ในบล็อกคนอื่น ก็ดูจะมีประโยชน์น้อยไปหน่อย เอามาขึ้นเป็นเอนทรี่ใหม่เลยดีกว่า
เมื่อพูดถึง พระโสดาบัน หรือพระอริยเจ้า คนทั่วไปที่ห่างไกลวัด ห่างไกลธรรมะ ไม่มีเวลาศึกษา จะจินตนาการถึง อุบาสก อุบาสิกา นุ่งขาว ห่มขาว จริยาวัตรเรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้ ละแล้วซึ่งกิเลสทั้งปวง ไม่ฝักใฝ่ในกามารมณ์ ไม่แต่งหน้า ทาปาก หรือการแต่งตัว หรือไม่ก็เป็นพวกพระห่มเหลือง ที่บำเพ็ญเพียรได้ขั้นหนึ่ง จนสำเร็จธรรมขั้นต้น เป็นความเข้าใจที่ห่างไกลความจริงมากพอควร
การปฏิบัติเพื่อเข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน หรือที่เรียกว่า อริยบุคคล ก็คงยากเย็นแสนเข็ญ ต้องไปวัด ต้องสวดมนต์ ต้องไปนั่งหลับตาปี๋ ขัดสมาธิ เดินจงกรม เป็นชั่วโมง ๆ ต่อเนื่อง เป็นเดือน เป็นปี ต้องฝึกกรรมฐานอย่างโน้น อย่างนี้ วุ่นวายตายเลย ไม่มีเวลาไปนั่งทำสมาธิเช่นนั้นหรอก นั่นก็ยังห่างไกลความเป็นจริง
ก่อนจะเข้าถึงหน้าตาของพระโสดาบัน หรือพระอริยบุคคล เบื้องต้นในพระพุทธศาสนา ขอเกริ่นนำถึงข้อดีของการเป็นพระโสดาบันก่อนดีกว่า ขอโค้ดเม้นท์ที่ไปพิมพ์ไว้เลยละกัน
ความจริงแล้ว ตามเนื้อความในหนังสือเรื่อง ๗ เดือนบรรลุธรรม ของดังตฤณ เขาแนะว่า โอกาสเกิดเป็นมนุษย์ช่างยากลำบากนัก โอกาสนี้ ที่เกิดมาทันได้รับฟังพระธรรมของพระพุทธเจ้า ศาสนายังไม่ได้เสื่อมสูญไป พระไตรปิฎกยังอยู่ครบ มิได้หาได้ง่ายนัก เกิดคราวหน้า อาจจะโผล่ไปเจอช่วงที่ว่างจากพระศาสนาก็ได้ อาจจะไปเกิดในประเทศซูดานก็ได้ อาจจะไปเกิดในครอบครัวที่เป็นมิจฉาทิฏฐิก็ได้ หรืออาจจะไปเกิดเป็นแมว หมา ฟังธรรมไม่รู้เรื่องก็ได้ ฉะนั้นแล้ว ควรทำชาตินี้ให้ดีที่สุดครับ อย่าไปหวังลม ๆ แล้ง ๆ ว่าจะไปเกิดทันยุคพระศรีอาริยเมตไตรยเลยครับ ถ้าคิดเช่นนั้นวันนี้ วันหน้าไปเจอพระศรีอาริย์ก็จะอธิษฐานอย่างเดียวกันนี้อีกครับ ว่าขอให้ไปเกิดทันพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป หรือขอให้ข้าพเจ้าเข้าสู่พระนิพพานในอนาคตกาล .... โน้น
เอาอย่างนี้ครับ อธิษฐานคราวหน้า ขอให้ถึงพระนิพพานชาตินี้เลยครับ
อย่าไปคิดเลยครับว่า บารมียังไม่พอ จะไปถึงนิพพานได้รึ
บารมีแปลว่า กำลังใจ ครับ กำลังใจมันทำกันได้ในชาติปัจจุบันครับ ไม่ต้องสะสมมาแต่ชาติปางก่อน
หรือถ้ามองว่า นิพพานอยู่สูงไป ไกลไป งั้นขอพระโสดาบันก็ได้ครับ ถ้าได้โสดาบันแล้ว ขึ้นไปบำเพ็ญต่อข้างบนได้ (ครูบาอาจารย์ท่านแนะให้หวังสูงไว้ก่อนครับ เหมือนจะขึ้นต้นไม้ ให้หวังยอดไม้ไปเลย ถ้าไปไม่ถึง ไปหล่นอยู่แถวกิ่งใดกิ่งหนึ่ง ก็ยังดีกว่า หวังจะขึ้นให้ถึงกิ่งใดกิ่งหนึ่ง แล้วตกลงมาบนพื้น)
อย่าไปคิดเลยครับว่า บารมียังไม่พอ จะไปถึงนิพพานได้รึ
บารมีแปลว่า กำลังใจ ครับ กำลังใจมันทำกันได้ในชาติปัจจุบันครับ ไม่ต้องสะสมมาแต่ชาติปางก่อน
หรือถ้ามองว่า นิพพานอยู่สูงไป ไกลไป งั้นขอพระโสดาบันก็ได้ครับ ถ้าได้โสดาบันแล้ว ขึ้นไปบำเพ็ญต่อข้างบนได้ (ครูบาอาจารย์ท่านแนะให้หวังสูงไว้ก่อนครับ เหมือนจะขึ้นต้นไม้ ให้หวังยอดไม้ไปเลย ถ้าไปไม่ถึง ไปหล่นอยู่แถวกิ่งใดกิ่งหนึ่ง ก็ยังดีกว่า หวังจะขึ้นให้ถึงกิ่งใดกิ่งหนึ่ง แล้วตกลงมาบนพื้น)
พระโสดาบัน คือ ผู้ที่แรกเข้าสู่กระแสพระนิพพาน ครับ
อกุศลกรรมในอดีตทุกชาติที่ผ่านมา และชาติปัจจุบัน ที่มีกำลังขนาดพาไปอบายภูมิ ๔ ได้ไม่มีโอกาสให้ผลครับ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ไม่มีเกิดในอบายภูมิ ๔ แล้ว ทีนี้จะไปนอนเท้งเต้งที่ไหน ก็ไม่ต้องห่วง ไม่มีโอกาสเกิดเป็น สัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ตลอดกาล ...เย้
อกุศลกรรมในอดีตทุกชาติที่ผ่านมา และชาติปัจจุบัน ที่มีกำลังขนาดพาไปอบายภูมิ ๔ ได้ไม่มีโอกาสให้ผลครับ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ไม่มีเกิดในอบายภูมิ ๔ แล้ว ทีนี้จะไปนอนเท้งเต้งที่ไหน ก็ไม่ต้องห่วง ไม่มีโอกาสเกิดเป็น สัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ตลอดกาล ...เย้
ถ้าบารมีอย่างอ่อน เรียก สัตตักขัตตุง (บางตำราเขียนว่า สัตตักขัตตุปรมะ) เกิดอีก ๗ ชาติเข้านิพพาน
บารมีอย่างกลาง เรียก โกลังโกละ เกิดอีก ๓ ชาติ แล้วไม่ต้องเกิดอีก
บารมีอย่างเข้ม เรียก เอกพีชี เกิดอีกทีเดียว แล้วขึ้นไปเล่นหมากฮอร์สกับพระอรหันต์ บนโน้นได้
บารมีอย่างกลาง เรียก โกลังโกละ เกิดอีก ๓ ชาติ แล้วไม่ต้องเกิดอีก
บารมีอย่างเข้ม เรียก เอกพีชี เกิดอีกทีเดียว แล้วขึ้นไปเล่นหมากฮอร์สกับพระอรหันต์ บนโน้นได้
นับข้อดีได้ขนาดนี้ มาลุย เพื่อเป็นพระโสดาบันกันเถอะครับ
การปฏิบัติเพื่อเป็นพระโสดาบัน มีดังนี้ครับ
๑.รักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์
๒.เคารพ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยใจจริง
๓.ระลึกถึงความตายเสมอ ๆ หรือ รักพระนิพพานเป็นอารมณ์
๒.เคารพ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยใจจริง
๓.ระลึกถึงความตายเสมอ ๆ หรือ รักพระนิพพานเป็นอารมณ์
ง่ายไหมครับ ๒ ข้อแรกน่าจะผ่านไปได้ง่าย ๆ คุณผู้หญิงก็แค่ลดละเลิกตอแหล สตรอเบอรี่ เพียงอย่างเดียว ก็น่าจะได้ศีล ๕ มานอนกอดสบาย ๆ ส่วนคุณผู้ชายคงต้องลดละเลิกหลายข้อหน่อย โดยเฉพาะข้อ ๕ สุรามาเป็นระยะนี่ หรือสุรามาเมาเป็นหมานี่ ต้องเลิกเด็ดขาดเลยครับ เลิกขาดไปเลยนะครับ ไม่ใช่ประเดี๋ยวก็แอบไปจิบ เพื่อเข้าสังคม ประเดี๋ยวไปดริ๊งค์ เพราะเพื่อนชวน ประเดี๋ยวไปก๊ง เพราะเขามีลานเบียร์ ที่หน้าเวิร์ลเทรด อย่างนั้นใช้ไม่ได้ครับ
คงจะมายากข้อ ๓
ถ้ากำลังใจสูง มีความฉลาดในอารมณ์ จิตใจเข้มแข็ง แบบพุทธจริต ก็ลุยนึกถึงความตายไปเลยครับ เจ๊เด็กหญิงเปสการีธิดา แกอายุแค่ ๑๓ ขวบเอง ได้ฟังพระพุทธเจ้าเทศน์เรื่องชีวิตเป็นของไม่เที่ยง ความตายเป็นของเที่ยง และจงไม่ประมาท แล้วเจ๊แกก็กลับไปนึกถึงความตาย แค่ ๓ ปีให้หลัง ตอนนี้ไปนอนตีพุงอยู่ที่ชั้นดุสิต ได้โซดา เอ้ย...โสดา ไปเรียบโร้ยโรงเรียนทอหูก
ระลึกถึงความตาย
ระลึกอย่างไร ไม่ใช่ไปคิดถึงแล้ว หดหู่ เศร้าหมอง หมดอาลัยตายอยากนะครับ อย่างนั้นคิดแบบไม่ฉลาด ต้องคิดว่า ความตายนั้น เป็นเรื่องธรรมดาของโลก มีเกิดแล้ว ก็ย่อมมีตายเป็นธรรมดา เห็นข่าวคนตายในหนังสือพิมพ์ ในทีวี ไม่ใช่ไปนั่งวิพากษ์วิจารณ์ แหมไม่น่าตายเลย จบมาก็สูง หน้าตาก็ดี ไม่น่าไปโดดตึกเอ็มไพร์ตายเลย อย่างนั้นไม่เกิดประโยชน์ ต้องคิดว่า ดูซี บางคนตายตั้งแต่อยู่ในท้อง บางคนเด็กอยู่ก็ตาย บางคนวัยรุ่นก็ตาย บางคนอายุกลางคนก็ตาย บางคนแก่แล้วค่อยตาย บางคนสวยก็ตาย บางคนหล่อแบบบิ๊กดีทูบี ก็ตาย บางคนไม่หล่อไม่สวย ก็ตาย บางคนนั่งอยู่ก็ตาย นอนอยู่ก็ตาย เดินอยู่ก็ตาย ยืนอยู่ก็ตาย บางคนตายเช้า ตายบ่าย ตายค่ำ ความตายมิได้เลือกวัย ผิวพรรณ วรรณะ เวลา อาการ สถานที่ ไม่มีนิมิตหมายใด ๆ จู่ ๆ ลมมันจะพัด ก็พาเอาคนพม่าตายไปเป็นแสน นั่งอยู่ในบ้านดี ๆ แป๊บเดียวก็กลายเป็นศพไปแล้ว ฉะนั้นเราจึงไม่ควรประมาท น้อมเข้ามาหาตัว วันหนึ่งเราก็จะตายเช่นเขา คิดอย่างนี้เรื่อย ๆ บ่อย ๆ ให้เป็นธรรมชาติ ไม่ต้องฝืนใจทำ นึกได้ก็ทำ นึกไม่ได้ก็ปล่อยมันไป แรก ๆ ก็จะรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง อกสั่นขวัญแขวน พอคิดบ่อยเข้า ก็จะชินไปเองครับ แม้คนรอบข้างเราก็เช่นกันครับ เขาก็มีโอกาสตายพอ ๆ กับเรา ก็ลองคิดดูว่า ถ้าเกิดเขาตายขึ้นมา เราจะรู้สึกอย่างไร กับคนที่เรารักมาก ๆ คิดครั้งแรก น้ำตาไหลเลยครับ แต่พอคิดบ่อย ๆ เข้า ก็จะชิน การคิดเช่นนี้ มีคุณมากกว่ามีโทษครับ แม้ไม่ได้บรรลุโสดา แต่เวลาเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น เราจะทำใจได้ก่อนคนอื่นครับ
ถ้าวิธีนี้ ปฏิบัติไม่ไหว หนักเกินไป ทำใจยาก ก็มีอีกวิธีครับ เขาเรียกว่า อุปสมานุสสติ ให้รักพระนิพพานเป็นอารมณ์ ทำบุญทุกอย่าง อธิษฐานอย่างเดียวเลยว่า ขอไปนิพพาน เรื่องเกิดชาติหน้าขอให้รวย ให้สวย ให้มีแฟนหล่อ ๆ ให้เก่ง ให้เฮง ไม่มีสำหรับเรา นั่นมันอธิษฐานให้เกิดใหม่ชัด ๆ
ทำอะไร ๆ ก็คิดถึงแต่พระนิพพาน พรหมไม่เอา สวรรค์ไม่เอา มนุษย์ไม่เอา อบายภูมิ ๔ ไม่เอา เกิดใหม่ไม่เอา ชาติหน้าไม่เอา คิดอยู่เรื่อย ๆ จนชิน เวลาอยู่ในเหตุการณ์หวาดเสียว พยายามระลึกให้ได้ ถ้าข้าพเจ้าต้องตายเวลานี้ ขอไปพระนิพพานจุดเดียว ไม่ยากใช่ไหม....
จบแค่นี้ละ ง่าย ๆ สั้น ๆ ต่อจากนี้ จะอธิบายหน้าตาของพระโสดาบัน ใครไม่อยากรู้ หรือรู้แล้ว ก็ข้ามไปเลย
ลักษณะของพระโสดาบัน
ดังที่ได้กล่าวตอนต้นว่า คนทั่วไปมักจะนึกว่า โสดาปัตติผล เป็นอะไรที่ลึกลับซับซ้อน มีอยู่เฉพาะในคัมภีร์โบราณศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาพุทธ ชื่อ พระไตรปิฎก คงไม่มีแล้วในปัจจุบัน บางคนแย่หนักกว่านั้น เข้าใจว่า อริยมรรค อริยผล ดูได้จากพัดยศ ยิ่งสมณศักดิ์สูง ยิ่งเป็นพระที่ทรงคุณวิเศษมาก เป็นความเข้าใจที่ผิดเพี้ยนไปไกล บางคนก็คิดว่า พระอริยเจ้าทั้งหลายตั้งแต่ พระโสดาบัน ขึ้นไป เป็นผู้ตัดกามารมณ์ได้โดยสิ้นเชิง เห็นร่างกายของผู้อื่น เป็นสิ่งน่ารังเกียจ การเสพกาม เป็นสิ่งน่ารังเกียจ พระไตรปิฎก ไม่ได้แจกแจงลักษณะของพระโสดาบันไว้ เพียงแต่ให้เกณฑ์วัด ความเป็นพระโสดาบันไว้ จะกล่าวถึงในตอนท้าย ฉะนั้นจึงไม่สามารถบอกรูปร่างหน้าตา ของพระโสดาบันโดยตรง จากพระไตรปิฎกได้ ทำได้เพียงเทียบเคียง กับประวัติพระอริยบุคคลที่ถูกบันทึกไว้
อ้างถึง นางวิสาขามหาอุบาสิกา กันดีกว่า เธอได้เป็นพระโสดาบันตั้งแต่ ๗ ขวบ ๗ ขวบ!!! ครับท่านผู้อ่าน เด็ก ป.๑ - ป.๒ บรรลุธรรมซะแล้ว แถมไม่รู้ตัวด้วยว่า ตัวเองได้โสดาปัตติผล จนได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้า เมื่อโตแล้ว ถึงมั่นใจ ฉะนั้นใครเข้าใจว่า พระอรหันต์เด็กไม่มี เด็ก ๆ บรรลุธรรมไม่ได้ เข้าใจใหม่ได้แล้วครับ หลวงเฮียเรวตะ น้องชายพระสารีบุตร ก็บรรลุอรหัตตผล ตั้งแต่ ๗ ขวบครับ กลับมาว่าประวัติของมหาอุบาสิกากันต่อ เธออายุได้ ๑๖ ก็แต่งงาน แต่งงานแล้วมีลูก ๒๐ คน ๒๐ คน!!!ครับท่านผู้อ่าน คนที่รังเกียจการเสพกาม หรือละกามคุณ ๕ ได้แล้ว จะมีลูกได้ถึง ๒๐ คนหรือขอรับ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด ฉะนั้น พระโสดาบันยังเสพกามอยู่ครับ ยังมีผัว มีเมีย เหมือนคนธรรมดาทั่วไป พระโสดาบันแต่งหน้าหรือเปล่า แต่งตัวหรือเปล่า มีอยู่คราวหนึ่งเธอไปทำบุญที่วัด แล้วลืมเครื่องประดับมหาลดาปสาธน์ไว้ที่วัด พระอานนท์เก็บไว้ให้ เลยเป็นเรื่อง เพราะเธอถือว่า สิ่งใดที่พระคุณเจ้า แตะต้องแล้ว ก็ถือเป็นของพระคุณเจ้าแล้ว เธอจะไม่เอามาใช้อีก ครั้นถวายไว้แล้ว ก็หาประโยชน์อันใดแด่ภิกษุสามเณรไม่ เธอจึงนำออกเปิดประมูลบนอีเบย์ จะนำเงินที่ได้ถวายวัด แม้มีคนอยากได้ แต่ก็ไม่สามารถสวมใส่ได้ เพราะเครื่องประดับหนักเหลือประมาณ เธอจึงเล่นเกม อัฐยายซื้อขนมยาย นำออกประมูลเอง แล้วก็ซื้อกลับไปเอง ถ้าเป็นสมัยนี้ อีเบย์คงได้ค่าคอมมิสชั่นรวยไปเลย เพราะประมูลไปในราคา ๙ โกฏิ (๙๐ ล้าน) เท่าราคาตอนบิดาของเธอจ้างทำขึ้นมา เอ้า....ถ้าคนไม่รักสวยรักงาม ไฉนจะมีเครื่องประดับอลังการเช่นนี้ละครับ มาถึงตรงนี้ พอจะเห็นภาพหรือยังครับว่า พระโสดาบัน ก็คือชาวบ้านชั้นดี ดีดีนี่เอง ไม่ใช่พวกพ่อขาว แม่ขาว ถือศีล ๘ อยู่ตามวัด ไม่ใช่พระห่มผ้าเหลือง นั่งทำสมาธิเคร่งเครียดอยู๋ในวัด ฉะนั้น เรา ๆ ก็เป็นได้ครับ พระอริยเจ้าไม่ใช่ซุปเปอร์ฮีโร่ในตำนาน เป็นคนธรรมดา ๆ เหมือนเรา ๆ ท่าน ๆ นี่ละครับ
เกณฑ์วัดความเป็นพระโสดาบัน
อันนี้พอจะสาธยายได้ครับ เพราะมีระบุไว้ในพระไตรปิฎก พระโสดาบันคือผู้ที่ละ สังโยชน์ ๓ ประการแรก จาก ๑๐ ประการได้ครับ ขอเขียนเฉพาะ ๓ ประการแรกนะครับ อีก ๗ ประการถ้าสนใจ ลองไปหาอ่าน ศึกษาเอง ไม่น่ายาก สังโยชน์ ๓ ข้อแรก มีดังนี้ครับ
๑. สักกายทิฏฐิ บาลีแปลว่า การพิจารณาเห็นขันธ์ ๕ มี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่มีในเรา พูดง่าย ๆ ก็เห็นอะไรว่า เป็นเรา เป็นของเรา หรือ อัตตา นั่นละครับ ถ้าละได้ นั่นเป็นระดับพระอรหันต์ครับ ระดับพระโสดาบันนี่ แค่เห็นความตายเป็นเรื่องธรรมดา และไม่ประมาท เท่านั้น (ดูทั่นเปสการีธิดา เป็นตัวอย่าง)
๒. วิจิกิจฉา ความสงสัยในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ถ้ามีความมั่นใจในพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ก็ย่อมไม่มีความสงสัย (ควรพิสูจน์ให้เห็นจริงก่อนแล้วค่อยเชื่อ ค่อยมั่นใจ นะครับ ไม่งั้นจะไปขัดกับ กาลามสูตร)
๓. สีลัพพตปรามาส บาลีแปลว่า การลูบคลำศีล เขียนให้เข้าใจง่าย ๆ ก็มีความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ เป็นอย่างสูง ท่านว่าคำไหนคำนั้น ศีลท่านให้รักษาให้บริสุทธิ์ ก็ถือตามนั้น ไม่มีต่อรอง ขอบี้ยุงหน่อยน่า ขอจิ๊กตังค์แม่หน่อยได้มะ ขอมีกิ๊กได้ป่ะ ขอสตรอเบอรี่นิดหนึ่งนะ โธ่...ขอกินไวน์แก้วเดียวเท่านั้นละ เหล่านี้ไม่มีในเรา
สามอย่างนี้ เป็นตัววัดเท่านั้นนะครับ เหมือน milestone หรือ หลักกิโล ว่า เราเดินมาถึงไหนแล้ว เรื่องนี้รู้ไว้ใช่ว่าครับ ท่านแนะไว้ว่า การไปมัวครุ่นคิดว่า เราเป็นพระอริยเจ้าหรือยัง เป็นพระอริยเจ้าขั้นไหน เป็นสิ่งไม่ควรคิดครับ ถ้าไปนั่งไล่ อุ๊ย ๑ ๒ ๓ เรามีครบแล้วนี่หว่า เราเป็นพระอริยเจ้าแล้ว สบายแล้ว ไม่ต้องปฏิบัติอะไรแล้ว เพราะที่ทราบมาว่า เมื่อปฏิบัติถึงโลกุตตรธรรม (ธรรมเหนือโลก มีโสดาปัตติผล เป็นต้น) แล้ว ไม่มีเสื่อม นั่นเป็นทางแห่งความประมาทครับ ปมาโท มัจจุโน ปทัง ความประมาทเป็นหนทางแห่งความตายครับ ตายจากกายเนื้อนี่ยังดีนะครับ ถ้าตายจากความดีนี่ แย่เลย
วิเคราะห์ให้ลึกลงไปอีกหน่อย มีครูบาอาจารย์ท่านหนึ่ง พูดให้ฟังว่า คำว่า ศีลบริสุทธิ์ มันบริสุทธิ์ ทั้งกายวาจาใจ นะครับ มิใช่แค่ กายกับวาจา ใจมันคิดชั่วไม่เป็น เอาอย่างนี้ดีกว่า ฉะนั้น ถ้าจะเอาศีลเป็นตัววัดว่า เราได้โสดาหรือยัง ต้องรวมใจเข้าไปด้วยครับ ถึงจะบริสุทธิ์ ท่านว่า พระโสดาบันกำลังใจในการรักษาศีลระดับ ยอมตายดีกว่าศีลขาด ครับ ก็ลองไปคิดใคร่ครวญดู เกิดมีใครเอาปืนมาจ่อหัวเรา บังคับให้พูดโกหก หรือ ให้กินเหล้า แล้วเรายอมตายดีกว่าทำอย่างนั้น โอเชครับ สอบผ่าน
สรุปว่า ศีล สำคัญที่สุดเลย สำหรับพระโสดาบัน สมาธ้ง สมาธิ ยังไม่สำคัญเท่าไหร่ครับ ฉะนั้นแล้ว ง่ายขนาดนี้ มาเป็นพระโสดาบันกันเถอะครับ
ปล. อีกอย่างหนึ่ง อย่าไปเข้าใจว่า คนที่สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลแล้ว จะไม่เจอเรื่อง ซวย ๆ แย่ ๆ นะครับ กฎแห่งกรรมนี้ แม้พระพุทธเจ้าเอง ก็เลี่ยงไม่ได้ครับ พระพุทธเจ้าเองก็ปรินิพพานตอนพระชนมายุ ๘๐ พรรษา เพราะเคยไปฆ่ายักษ์ไว้ในอดีตชาติ ตอนกระหายน้ำ ขอน้ำพระอานนท์ ก็ไม่ได้ฉัน เพราะเคยไปทำวัวอดน้ำ ตอนไปเมืองโกสัมพี ก็ถูกพระนางมาคันทิยา จ้างคนมาด่า พระโมคคัลลานะ เป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย ก็ถูกโจรตีตาย เพราะเคยฆ่าพ่อแม่ไว้ในอดีตชาติ พระนางสามาวดี เป็นพระโสดาบัน ก็ถูกเผาทั้งเป็น ฯลฯ เรื่องความเป็นอริยบุคคล กับ กฎแห่งกรรม เป็นคนละเรื่องกันครับ
เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ ฯ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น